วันอาทิตย์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2553

Path of Fujiko F. ฟุจิโกะ SF คอลเล็คชั่น..!!




:คุณผู้อ่านเคยสงสัยกันบ้างไหมครับ..!? ว่าทำไมนักเขียนการ์ตูน ระดับปรมาจารย์ ของประเทศญี่ปุ่นทั้งหลาย ถึงได้สามารถสร้างผลงาน ออกมาได้มากมายมหาศาลเหลือเกิน

เทียบไม่ได้กับนักเขียนการ์ตูนสมัยใหม่ ที่มากสุดก็ยังสร้างผลงานได้ไม่ถึงกึ่งหนึ่ง ของจำนวนผลงานของนักเขียนระดับปรมาจารย์ดังกล่าว (คล้ายๆ กับที่นักร้องหรือครูเพลงลูกทุ่งสามารถสร้างผลงานออกมาได้มากมาย ในขณะที่นักร้องหรือนักแต่งเพลงสตริงในระดับเดียวกันหรือใกล้เคียงกันสามารถสร้างผลงานออกมาได้ไม่ถึงครึ่ง)

ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะลักษณะของลายเส้นและคาแรคเตอร์ตัวการ์ตูนที่ยังคงเรียบง่ายและมีความเป็น การ์ตูน แท้ๆ ในขณะที่การ์ตูนยุคใหม่ๆ เริ่มจะมีความเป็นเรียลลิสติกและจำเป็นต้องใส่รายละเอียดลงไปในงานภาพมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นส่วนของคาแรคเตอร์ตัวการ์ตูนหรือฉาก

เช่นเดียวกับปรมาจารย์ชั้นครูคนหนึ่ง ของวงการการ์ตูนญี่ปุ่นซึ่งเป็นผู้ให้กำเนิดการ์ตูนทรงคุณค่าอมตะ สุดโด่งดังระดับโลกเรื่อง โดราเอม่อน ที่แทบจะไม่มีคอการ์ตูนคนไหนไม่รู้จักอย่างอาจารย์ ฟุจิโกะ เอฟ. ฟุจิโอะ (Fujiko F. Fujio) เองก็ได้รังสรรค์ผลงานการ์ตูนทั้งเรื่องยาวและเรื่องสั้นต่างๆ ออกมามากมายเหลือคณานับ

ที่สำคัญ... การ์ตูนเรื่องยาวแทบทุกเรื่องของเขานั้นโด่งดังและได้รับความนิยมอยู่ในระดับที่ไม่ธรรมดาเลย บางเรื่องนั้นคอการ์ตูนที่ไม่ได้ลงลึกถึงรายละเอียดเบื้องหลังความเป็นมาจริงๆ อาจจะไม่ทราบได้เลยว่าเป็นผลงานของอาจารย์ฟุจิโกะ เอฟ. ฟุจิโอะท่านนี้ ไม่ว่าจะเป็น 'เปอร์แมน' (Perman) หรือที่เรียกกันติดปากว่า 'ปาร์แมน', 'ผีน้อยคิวทาโร่', 'นินจาฮัตโตริ', '21 เอม่อน', 'มามิ สาวน้อยพลังจิต' ฯลฯ ล้วนแล้วแต่เป็นผลงานทรงคุณค่าที่คอการ์ตูนรุ่นเดอะแต่เพิ่งจะมามีสตางค์พร้อมซื้อเอาในยุคที่หาซื้อได้ยากแล้วอย่างผมอยากล่ามาสะสมขึ้นหิ้งหนังสือโปรดทั้งสิ้น โทษฐานที่เป็นการ์ตูนโปรดในวัยเด็กและมีส่วนปลูกฝังให้ผมเติบโตขึ้นมาเป็นคนดีมีวุฒิภาวะทางความคิดและทางอารมณ์ที่ดีมาจนถึงปัจจุบัน

แต่ล่าสุดไม่นานมานี้คอการ์ตูนที่เป็นแฟนติดตามผลงานของอาจารย์ฟุจิโกะ เอฟ. ฟุจิโอะก็ได้ร้องเฮ เมื่อสำนักพิมพ์ Nation Comics (เนชั่น คอมมิคส์) ได้ตีพิมพ์หนังสือการ์ตูนรวมผลงานเรื่องสั้นแนวไซ-ไฟของนักเขียนระดับปรมาจารย์ท่านนี้ออกมาในรูปแบบล้ำค่าสมศักดิ์ศรีนักเขียนชั้นครูเหลือเกิน...

Path of Fujiko F. Fujio (พาธ ออฟ ฟุจิโกะ เอฟ. ฟุจิโอะ) เป็นหนังสือการ์ตูนรวมผลงานเรื่องสั้นแนวไซ-ไฟ (Science Fiction) หรือแนวนิยายวิทยาศาสตร์ของอาจารย์ฟุจิโกะ เอฟ. ฟุจิโอะแบบเป็นคอลเล็คชั่นล้ำค่าสุดๆ จริงๆ เพราะนอกจากจะเป็นการรวมผลงานเรื่องสั้นที่ตีพิมพ์ในนิตยสารการ์ตูนต่างๆ ของญี่ปุ่นไล่มาตั้งแต่ปี ค.ศ.1968 (พ.ศ.2511) เรื่อยมาอย่างครบถ้วนสมบูรณ์แบบสุดๆ แล้วยังตีพิมพ์ออกมาเป็นรูปเล่มพิเศษสุดๆ ที่มีขนาดใหญ่เต็มตากว่าหนังสือการ์ตูนขนาดปกติในบ้านเรา แถมจำนวนหน้ายังหนาปึ้กกว่า 360 หน้า เย็บสันเล่มด้วยเชือกแน่นหนาเป็นพิเศษ แถมยังพิมพ์ปกนูนพิเศษเคลือบสีทองอย่างสวยงาม จัดจำหน่ายในราคาปก 195 บาท และล่าสุดออกวางจำหน่ายออกมา 2 เล่ม อันได้แก่ Path of Fujiko F. Fujio เล่ม 1 ตอน จานมิโนทาวรอส (Dish of Minotauros) และPath of Fujiko F. Fujio เล่ม 2 ตอน เกษียณอายุการกิน (Retiring Age from Eating)

ล่าสุดนี้ผมอ่านเรื่องสั้นที่ถูกรวมอยู่ใน Path of Fujiko F. Fujio เล่ม 1 ตอน 'จานมิโนทาวรอส' ไปได้ 11 ตอนแล้วรู้สึกได้ทันทีถึงความเหนือชั้นในการคิดเรื่องราวและเนื้อหาในแบบที่คอการ์ตูนที่เป็นผู้ใหญ่ยังต้องอึ้ง เพราะเรื่องสั้นแทบทุกเรื่องนอกจากจะเกี่ยวข้องกับความรู้ทางวิทยาศาสตร์แล้วยังแฝงไปด้วยความคิดแนวปรัชญาและสะท้อนสังคมได้เป็นอย่างดีอีกต่างหาก บางเรื่องก็อ่านสนุกสนานเชิงตลกขบขัน บางเรื่องก็ออกแนวดราม่าสะท้อนสังคม บางเรื่องก็ต้องใช้ความคิดตีความหมายที่แฝงอยู่ภายในกันแบบสุดๆ เลย...

เรียกได้ว่าน่าจะถูกใจคอการ์ตูนที่ต้องการสาระจากการอ่านการ์ตูนเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากไอเดียความคิดไม่ธรรมดาที่แฝงอยู่ในแต่ละเรื่องแต่ละตอนนั้นสามารถนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์เป็นเรื่องๆ ได้เลยทีเดียว...

ปัจจุบันนี้ถึงแม้ว่า ฟุจิโกะ เอฟ. ฟุจิโอะ ได้ล่วงลับไปแล้ว โดยทิ้งมรดกอันยิ่งใหญ่ ฝากไว้ประดับวงการการ์ตูนในนามของ Fujiko F. Fujio Production แต่ผลงานหลายๆ เรื่องของเขาก็ยังคงถูกนำมาตีพิมพ์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ให้นักอ่านการ์ตูนได้อ่านสนุกกันอยู่ทุกยุคทุกสมัย... ต้องยอมรับว่าเป็นที่หนึ่งในใจนักอ่านการ์ตูนทั่วโลกจริงๆ

ที่มันเหลือเชื่อน่าทึ่งมากๆ ก็คือ...การ์ตูนแต่ละเรื่องนั้นเก่าแก่กว่า 40 ปีแล้ว แต่โครงเรื่องล้ำอนาคตเหลือเกิน..!! 0






นักสะสมไม่ควรพลาดหนังสือชุดนี้!! ลองแวะเข้าไปชมได้ที่ www.hiclassshop.com


ขอขอบคุณ เครดิตรบทความดีๆจาก

คุณประสพโชค จันทรมงคล bomsquare@yahoo.com

วันเสาร์ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2553

5 เทคนิคกินเจอย่างไรให้สุขภาพดี ไม่อ้วน






ลังจากจบเทศกาลกินเจ อิ่มบุญกันไปแล้ว มักมีเสียงบ่นให้ได้ยินเสมอถึงน้ำหนักที่ขึ้นมาเป็นของแถมเสมอ วันนี้จึงอยากมาแนะนำ 5 เทคนิคกินเจอย่างไรสุขภาพดีไม่อ้วน เพื่อให้นอกจากจะอิ่มบุญกันถ้วนหน้าแล้ว ยังมีสุขภาพที่ดีตามมาด้วยค่ะ


5 เทคนิคกินเจอย่างไรสุขภาพดี ไม่อ้วน

1. กินน้อยๆ แต่บ่อยครั้ง ช่วงกินเจ นอกจากอาหารหลัก 3 มื้อแล้ว ควรมีอาหารว่าง เช้า และบ่ายด้วย เพราะอาหารเจ มักจะเป็นอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต ซึ่งย่อยเร็ว จึงทำให้คุณหิวบ่อย ส่วนอาหารว่าง ก็ควรเลือกรับประทานเป็น ผลไม้ หรือเมล็ดถั่วแห้งต่างๆ หรืออาจเป็นนมถั่วเหลือง
  นอกจากนี้ การกินถั่วหรือธัญพืชต่างๆ ตำราอาหารเจ กล่าวไว้ว่ามีประโยชน์ต่ออวัยวะทั้ง 5 เป็นอย่างยิ่ง คือ ถั่วเหลืองบำรุงม้าม, ถั่วแดงบำรุงหัวใจ, ถั่วแดงบำรุงไต, ถั่วเขียวบำรุงตับ และถั่วขาวบำรุงปอด
 
2.
ควรมีเมนูผักทุกมื้อ อาจเป็นผักผัด แกงจืดผักรวม หรือสลัดผักน้ำใส ข้อสำคัญควรรับประทานผักให้หลากชนิด และหลากสี เพราะผักแต่ละสีก็จะมีเกลือแร่ และวิตามินที่แตกต่างกัน

 
3
. เสริมโปรตีนจากพืชแทนโปรตีนจากสัตว์ โปรตีนจากพืช ได้แก่เห็ด และธัญพืชต่างๆ เต้าหู้ โปรตีนเกษตร และนมถั่วเหลือง เพราะร่างกายต้องการโปรตีนเพื่อใช้ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ และสร้างภูมิต้านทานให้กับร่างกายทุกวันไม่มีวันหยุด ดังนั้นช่วงที่งดเนื้อสัตว์ จึงจำเป็นที่ต้องกินโปรตีนจากพืชแทน

 
4. หลีกเลี่ยง น้ำตาลและขนมหวาน นอกจากจะเป็นตัวทำให้น้ำหนักขึ้นง่ายแล้ว ยังทำให้เซลล์ของร่างกายคุณเสื่อมได้ง่ายด้วยเช่นกัน

 
5.
กินข้าวกล้อง งดข้าวขาว ช่วงกินเจลองเปลี่ยนไปกินข้าวกล้องแทนข้าวขาว เพราะนอกจากอุดมไปด้วยใยอาหาร ช่วยขัดขวางการดูดซึมไขมันแล้ว ยังอุดมไปด้วยวิตามินบี ซึ่งเป็นวิตามินที่บำรุงสมอง และตับของคุณด้วยค่ะ



บทความดีๆจาก www.hiclassshop.com

วันจันทร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2553

"การให้คีโมกับมะเร็งและการดำรงชีวิต"

"การให้คีโมกับมะเร็งและการดำรงชีวิต"


หลังจากหลายปีที่พูดกันว่าการทำคีโมเป็นทางเลือกเดียวที่จะ ลอง และใช้ในการกำจัดโรคมะเร็ง ในที่สุดโรงพยาบาลจอห์น ฮอพกินส์ก็เริ่มแนะนำถึงทางเลือกอื่นๆอีก

ข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับโรคมะเร็งจาก รพ.จอห์น ฮอพกินส์

1. ทุกๆคนมีเซลมะเร็งอยู่ในร่างกาย เซลมะเร็งเหล่านี้จะไม่ปรากฎด้วยวิธีการตรวจสอบตามมาตรฐาน จนกระทั่งมันขยายตัวเพิ่มขึ้นในระดับพันล้านเซล เมื่อแพทย์บอกว่าไม่มีเซลมะเร็งในร่างกายผู้ป่วยโรคมะเร็งที่ได้รับการรักษาแล้ว มันหมายถึงว่าระบบไม่สามารถตรวจสอบเซลมะเร็งได้เพราะว่าจำนวนของมันยังไม่มากพอ จนถึงระดับที่สามารถตรวจจับได้เท่านั้น

2. เซลมะเร็งเกิดขึ้นระหว่าง 6 ถึงมากกว่า 10 ครั้งในช่วงอายุของคนๆหนึ่ง

3. เมื่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายแข็งแรงเพียงพอ เซลมะเรงจะถูกทำลายและป้องกันไม่ให้เกิดการขยายตัวและกลายเป็นเนื้องอก

4. เมื่อใครก็ตามเป็นมะเร็ง มันกำลังบอกว่าคนๆนั้นมีความบกพร่องหลายประการเกี่ยวกับโภชนาการ ซึ่งอาจเกิดจากยีน สิ่งแวดล้อม อาหารและปัจจัยอื่นๆในการดำรงชีวิต

5. เพื่อเอาชนะภาวะบกพร่องหลายประการเกี่ยวกับโภชนาการ การเปลี่ยนแปลงประเภทของอาหารรวมทั้งสารอาหารบางอย่างจะช่วยให้ภูมิคุ้มกันแข็งแรงขึ้น

6. การทำคีโมคือการให้สารเคมีที่มีความเป็นพิษกับเซลมะเร็งที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่ขณะเดียวกัน มันก็จะทำลายเซลที่ดีที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในไขกระดูก ทำลายระบบทางเดินอาหาร ฯลฯ และเป็นสาเหตุทำให้อวัยวะบางส่วนถูกทำลาย เช่น ตับ ไต หัวใจ ปอด ฯลฯ

7. การฉายรังสีแม้ว่าจะเป็นการทำลายเซลมะเร็ง แต่ก็ทำให้เกิดอาการไหม้ เป็นแผลเป็น และทำลายเซลที่ดี เนื้อเยื่อ และอวัยวะ

8. การบำบัดโดยคีโม และการฉายรังสีมักจะช่วยลดขนาดของเนื้องอกได้ในช่วงแรกๆ อย่างไรก็ตามถ้าทำไปนานๆพบว่ามักไม่ส่งผลต่อการทำลายเซลเนื้องอก

9. เมื่อร่างกายได้รับสารพิษจากการทำคีโมหรือการฉายรังสีมากเกินไป ระบบภูมิคุ้มกันอาจปรับตัวเข้ากันได้หรือไม่ก็อาจถูกทำลายลง ดังนั้นคนๆนั้นจึงอาจตกอยู่ในอันตรายจากการติดเชื้อหลายชนิดและทำให้โรคมีความซับซ้อนยิ่งขึ้น

10. การทำคีโมและการฉายรังสีอาจเป็นสาเหตุทำให้เซลมะเร็งกลายพันธุ์ ดื้อยา และยากต่อการทำลาย การผ่าตัดก็อาจเป็นสาเหตุทำให้เซลมะเร็งกระจายไปทั่วร่างกาย

11 วิธีที่ดีที่สุดในการทำสงครามกับมะเร็ง คือการไม่ให้เซลมะเร็งได้รับอาหารเพื่อนำไปใช้ในการขยายตัว

อะไรคืออาหารที่ป้อนให้กับเซลมะเร็ง

a. น้ำตาลคืออาหารของมะเร็ง การตัดน้ำตาลคือการตัดแหล่งอาหารสำคัญที่จ่ายให้กับเซลมะเร็ง สารทดแทนน้ำตาลอย่างเช่น "" นิวตร้าสวีต "" "" อีควล "" "" สปูนฟูล "" ฯลฯ ล้วนทำมาจากสารให้ความหวาน ซึ่งเป็นอันตราย สารทดแทนซึ่งเป็นกลางที่ดีกว่าคือน้ำผึ้งมานูคา (จากนิวซีแลนด์) หรือน้ำอ้อย แต่ในปริมาณน้อยๆเท่านั้น เกลือสำเร็จรูปก็ใช้สารเคมีในการฟอกขาว ควรหันไปเลือกใช้ "" แบรก อมิโน "" หรือเกลือทะเลแทน

b. นมเป็นสาเหตุทำให้ร่างกายผลิตเมือก โดยเฉพาะในระบบทางเดินอาหาร เซลมะเร็งจะได้รับอาหารได้ดีในสภาวะที่มีเมือก การใช้นมถั่วเหลืองชนิดไม่หวานแทนนม จะทำให้เซลมะเร็งไม่ได้รับอาหาร

c. เซลมะเร็งเติบโตได้ดี ในภาวะแงดล้อมที่เป็นกรด อาหารจำพวกเนื้อจะสร้างสภาวะกรดขึ้น ดังนั้นจึงควรหันไปรับประทานปลาจะดีที่สุด รองลงไปคือรับประทานไก่แทนเนื้อและหมู ในเนื้ออาจมียาฆ่าเชื้อ ฮอร์โมนที่สร้างการเจริญเติบโตในสัตว์ และเชื้อปรสิตบางประเภทตกค้างอยู่ ซึ่งล้วนเป็นอันตราย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่เป็นมะเร็ง

d. อาหารที่ประกอบด้วยผักสด 80% และน้ำผลไม้ พืชจำพวกหัว เมล็ด ถั่วเปลือกแข็ง และผลไม้จำนวนเล็กน้อย จะช่วยทำให้ร่างกายมีสภาวะเป็นด่าง อาหารอีก 20% อาจได้มาจากการทำอาหารร่วมกับพืชจำพวกถั่ว น้ำผักสดจะให้เอ็นไซม์ซึ่งสามารถดูดซึมได้ง่ายและซึมทราบสู่ระดับเซลภายใน 15 นาที เพื่อบำรุงร่างกายและส่งเสริมการเจริญเติบโตของเซลที่ดี เพื่อให้ได้เอ็นไซม์ในการสร้างเซลที่ดี ให้พยายามดื่มน้ำผักสด ( ผักส่วนใหญ่รวมทั้งถั่วที่มีหน่อหรือต้นอ่อน) และรับประทานผักสดดิบ 2-3 ครั้งต่อวัน เอ็นไซม์จะถูกทำลายได้ง่ายที่อุณหภูมิ 140 องศา F ( ประมาณ 40 องศา C)

e. ให้หลีกเลี่ยงกาแฟ น้ำชา และช๊อกโกแลต ซึ่งมีคาเฟอีนสูง ชาเขียวถือเป็นทางเลือกที่ดีและมีคุณสมบัติในการต้านมะเร็ง น้ำดื่มให้เลือกดื่มน้ำบริสุทธิ์ หรือที่ผ่านการกรอง เพื่อหลีกเลี่ยงท๊อกซินและโลหะหนักในน้ำประปา น้ำกลั่นมักมีสภาพเป็นกรด ให้หลีกเลี่ยง

12. โปรตีนจากเนื้อจะย่อยยาก และต้องการเอ็นไซม์หลายชนิดมาช่วยในการย่อย เนื้อสัตว์ที่ไม่สามารถย่อยได้ในระบบทางเดินอาหารจะเกิดการบูดเน่าและมีความเป็นพิษมากขึ้น

13. ผนังของเซลมะเร็งจะมีโปรตีนห่อหุ้มไว้ การงดหรือการรับประทานเนื้อสัตว์น้อยลง จะทำให้มีเอ็นไซม์เหลือมากพอมาใช้โจมตีกำแพงโปรตีนที่ห่อหุ้มเซลมะเร็ง และช่วยให้เซลของร่างกายสามารถกำจัดเซลมะเร็งได้ดีขึ้น

14. สารอาหารบางอย่างอาจช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน ( สาร IP6 [inositol hexaphosphate หรือ phytic acid], สาร Flor-essence, สาร Essiac, สารแอนตี้-อ๊อกซิแดนส์ , วิตามิน , เกลือแร่ , EFAs ฯลฯ) เพื่อช่วยให้เซลของร่างกายสามารถกำจัดเซลมะเร็งได้ดีขึ้น สารอาหารอื่นๆเช่น วิตามินอี เป็นที่ทราบกันดีว่าทำให้เกิดการตายลงของเซล หรือกำหนดระยะเวลาการตายของเซล ซึ่งเป็นกลไกธรรมชาติของร่างกายในการกำจัดเซลที่ถูกทำลาย ซึ่งไม่เป็นที่ต้องการ หรือไม่มีประโยชน์ออกไป

15. มะเร็งเป็นโรคที่สัมพันธ์กับจิตใจ ร่างกาย และจิตวิญญาณ การป้องกันเชิงรุกและการคิดในเชิงบวกจะช่วยให้เราสามารถอยู่รอดจากการทำสงครามกับมะเร็ง.... ความโกรธ การไม่รู้จักให้อภัย และความขมขื่นใจ จะทำให้ร่างกายเกิดความตึงเครียดและมีสภาวะเป็นกรดเพิ่มขึ้น ให้เรียนรู้ที่จะมีความรักและจิตวิญญาณแห่งการให้อภัย เรียนรู้ที่จะผ่อนคลายและมีความสุขกับชีวิต 



สนับสนุนบทความดีๆโดย www.hiclassshop.com






 

วันพฤหัสบดีที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2553

ประกาศผลผู้ได้รับรางวัล 17 ก.ย. 53

ขอแสดงความยินดีกับผู้ ได้รับรางวัลค่ะ จากคำถามว่า "หนาวนี้คุณอยากไปเที่ยวที่ไหนใน ประเทศไทย พร้อมบอกเหตุว่าทำไมถึงอยากไป"


ผู้โชคดีคือคุณ



 indy love
  กับ ข้อความที่ตอบว่า


....หนาวนี้อยากไปเที่ยวภาคเหนือ บนยอดดอยอินทนนท์ และไปเดินชมธรรมชาติที่กิ่วแม่ปาน ดูคลื่นภูเขาที่ลดหลั่น ไล่สีสันสวยงาม เหมือนอยู่ใกล้แค่เอื้อม ศึกษาเส้นทางธรรมชาติ พร้อมชมดอกกุหลาบพันปี และขึ้นไปที่อ่างกา จุดสูงสุด ดูนกหายากสีสันสดใส เพลิดเพลินใจไปกับสายลมหนาว แม้แต่ต้นไม้ยังต้องใส่เสื้อ บันทึกภาพแห่งความงามและความทรงจำอันน่าประ ทับใจตราบนานเท่านา...

 

INDYLOVE

ขอแสดงความยินดีด้วยค่ะ



ผู้ที่ได้รับรางวัล กรุณาส่งชื่อ ที่อยู่ที่จะให้ทางเราจัดส่งของรางวัลไปให้มาที่ hiclassshop99@gmail.com  ภายใน 1 สัปดาห์นับจากวันประกาศผล มิฉะนั้นจะถือว่าท่านสละสิทธิ์และทางเราจะมอบรางวัลให้กับรองชนะเลิศต่อไป ค่ะ



ขอบคุณสำหรับการร่วมสนุกค่ะ และติดตามการร่วมสนุกชิงของรางวัลง่ายๆแบบนี้ได้ที่ เว็บบอร์ดของ www.hiclassshop.com ค่ะ




ส่วนรางวัลชมเชย 2 รางวัล ซึ่งเป็นรางวัลที่ทางร้านจัดเพิ่มให้เป็นกรณีพิเศษ ได้แก่



คุณ lisa sai และ คุณ ชัชวัสส์




กรุณาส่งชื่อ และ ที่อยู่เพื่อที่จะให้ทางเราส่งของรางวัลไปให้มาที่ hiclassshop99@gmail.com ภายใจ 1 สัปดาห์นับจากวันที่ประกาศผล มิฉะนั้นจะถือว่าท่านสละสิทธิ์ เช่นกันค่ะ


ขอบคุณค่ะ

วันจันทร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2553

มีหนังสือดีๆอยากจะแจกค่ะ มาร่วมสนุกกัน



ขอเชิญร่วมสนุก เพื่อรับของรางวัล



เพียงตอบคำถามว่า "หนาวนี้คุณอยากไปเที่ยวที่ไหนในประเทศไทย พร้อมบอกเหตุว่าทำไมถึงอยากไป"


แล้วส่งคำตอบของคุณมาที่


hiclassshop99@gmail.com


คำตอบและเหตุผลที่โดนใจ


รับไปเลย "หนังสือ เที่ยวเสาร์ อาทิตย์" มูลค่า 245 บาท 1 รางวัล ส่งให้ถึงบ้าน


หมดเขตรับข้อความ 23.59 น. วันที่ 16 กันยายน 2553


มาร่วมสนุกกันเยอะๆนะคะ
 
ท่านที่ได้ส่งข้อ ความมาแล้ว ขอแจ้งให้ทราบว่าประกาศผลผู้ได้รับรางวัล วันที่ 17 กันยายน 2553 เวลา 9.30 น. ค่ะ



ตรวจสอบรายชื่อผู้ที่ได้รับรางวัลได้ที่ เว็บบอร์ดของ www.hiclassshop.com และที่ Facebook นะคะ


ขอบคุณสำหรับการร่วมสนุกค่ะ

"ตังกุย สมุนไพรสำหรับสตรี"





ในตำรับยาสมุนไพรจีน ตังกุย เป็นสมุนไพรที่รู้จักกันดี และนิยมใช้กันอย่างมาก เช่นเดียวกับโสม ถั่งเฉ้า และเห็ดหลินจือ ตามสรรพคุณตังกุยจะได้มาจากส่วนรากของพืชวงศ์ Umbelliferae มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Abgelica sinensis (Oliv) Diels เป็นสมุนไพรที่มีกลิ่นหอม รสหวานออกขมเล็กน้อย จัดอยู่ในกลุ่มสมุนไพรที่มีรสอุ่นกระตุ้นระบบไหลเวียนโลหิต บำรุงโลหิต ช่วยให้ประจำเดือนมาเป็นปกติ และแก้ปวด


โดยความนิยมแล้วถือว่า ตังกุย เป็นสมุนไพรที่ทรงคุณค่าสำหรับสตรี เนื่องจากเป็นตัวยาที่มีผลต่อมดลูกโดยตรง คือมีสรรพคุณ ในการช่วยให้ประจำเดือนมาสม่ำเสมอ แก้ปวดประจำเดือน ช่วยบรรเทาอาการปวดหัว ปวดเมื่อยตามเนื้อตัว (rheumatism) และเป็นยาระบายท้องอ่อนๆ ด้วย



มีรายงานจาการทดลองพบว่า สารสกัดจากตังกุย ในส่วนที่เป็นน้ำมันหอมระเหยที่มีจุดเดือดสูง (high boiling point) ประมาณ 180 องศาเซลเซียส ถึง 210 องศาเซลเซียส จะมีคุณสมบัติด้านการบีบตัว (ทำให้กล้ามเนื้อคลายตัว) ของมดลูกได้ แต่สำหรับในเชิงเภสัชวิทยา แล้วจะเกิดผล 2 กรณี คือ


ประการแรก

คือเมื่ออยู่ในภาวะตั้งครรภ์ มดลูกจะมีความไวต่อภาวะความกดดัน ในโพรงมดลูกสูง สารสกัดจากรากตังกุยจะมีผลต่อกล้ามเนื้อมดลูก คือ นอกจากจะลดการบีบตัวแล้ว ยังทำให้การตอบสนองต่อความกดดัน ในโพรงมดลูกน้อยลง (decreasing the myometrial sensitivity) และจะมีผลให้เลือดไปเลี้ยงบริเวณมดลูกมากขึ้น โดยการขยายหลอดเลือด ผลก็คือลดโอกาสในการแท้งบุตรได้ จึงเป็นเหตุผลว่า ทำไมตังกุยจึงเป็นผลดีต่อสตรีที่อยู่ในภาวะตั้งครรภ์

ประการที่สอง

คือสำหรับสตรีทั่วไปและสตรีภายหลังการคลอดบุตร ตังกุยจะมีผลต่อระบบประจำเดือน คือ ช่วยให้ประจำเดือนมาเป็นปกติ แก้ปวดประจำเดือน ในตำรับยาจีนจะผสมตังกุยกับหัวแห้วหมู (Cyperus rotundus) โกฐจุฬาลำเภาจีน (Artemisia argyi) เปลือกลูกพรุน (Prunus persica) และดอกคำฝอย (Carthamus tinctorius) เพื่อเป็นยาช่วยให้ประจำเดือนมาเป็นปกติ


ถึงแม้คำอธิบายเรื่องนี้ ยังไม่ชัดเจนมากนัก แต่ก็มีรายงานว่า


ในสารสกัดของตังกุยทั้งในส่วนของสารสกัดด้วยน้ำ และแอลกอฮอล์ที่ไม่ใช่เป็นสารกลุ่มน้ำมันหอมระเหย มีคุณสมบัติในการกระตุ้นการหดตัวของกล้ามเนื้อมดลูกได้ดี (คือ เพิ่มการบีบตัวของมดลูก) จึงนิยมใช้ตังกุยเป็นยาช่วยในการขับน้ำคาวปลา และช่วยทำให้มดลูกเข้าอู่ได้เร็วขึ้น


สำหรับการรักษาอาการหลังหมดประจำเดือน มีการทดลองใช้ตังกุย ร่วมกับตัวยาอื่นอีก 5 ชนิด ในคนไข้ 43 คน พบว่าส่วนใหญ่มีอาการดีขึ้น คือ อาการร้อนวูบ มึนงง ตาพร่า และอาการไม่สบายในช่องท้องจะลดลงประมาณ 70%




“ตังกุย” เป็นยาสำหรับสตรีเท่านั้นหรือ ผู้ชายรับประทานได้หรือไม่



ถ้าดูจากสรรพคุณดั้งเดิม ที่ว่าตังกุยเป็นยาที่ใช้สำหรับ บำรุงร่างกายทั่วๆ ไป และบรรเทาอาการปวดเมื่อยต่างๆ ก็น่าจะใช้ได้ดีทั้งกับผู้หญิงและผู้ชาย โดยเฉพาะการมุ่งหวังผล เพื่อเป็นยาบำรุงร่างกาย เพราะในรากตังกุยจะมีวิตามินบี 12 ในปริมาณที่มาก (0.25-0.4 ไมโครกรัม/100 กรัมของน้ำหนักรากแห้ง) ยังมีสารโฟลิก (Folic) และไบโอติน (Biotin) ซึ่งมีผลต่อการสร้างปริมาณเม็ดเลือด ในร่างกาย จึงนิยมใช้เป็นยาบำรุงโลหิต




ยิ่งกว่านั้นยังมีการทดลองที่พบและแสดงให้เห็นว่า สัตว์ที่ได้รับสารสกัดจากรากตังกุยจะมีขนาด และน้ำหนักของตับ และม้ามเพิ่มขึ้น เพิ่มประสิทธิภาพของเม็ดเลือดขาวชนิด macrophage ในการทำลายสิ่งแปลกปลอมในร่างกายได้ดีขึ้น และเพิ่มประสิทธิภาพ การทำงานของตับ ซึ่งส่งผลถึงการสร้างระบบภูมิต้านทานของร่างกายที่ดีขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ยังมีข้อมูลค่อนข้างจำกัด คงต้องรอผลการวิจัยต่อไป




ผลต้านการอักเสบและลดการบวม โดยการทดสอบทางชีวเคมี ถึงขบวนการเกิดการอักเสบ พบว่า สารจากตังกุยสามารถขัดขวางการเกิด 5-hydroxytryptamine (5-HT) และลดการส่งผ่านของสารทางผนังเซลล์หัวใจ (coronary flow) และกระแสโลหิตที่ร่างกาย peripheral blood flow ได้โดยการทำให้หลอดเลือดขยายตัว (dilate vessel) มีผลต่อการเต้นของหัวใจ ให้ความดันล่างสูงขึ้น


นอกจากรายงานทีกล่าวมาแล้ว ยังมีรายงานการวิจัย ถึงสรรพคุณของตังกุยอื่นๆ ที่น่าสนใจอีกมาก เช่น


เป็นสารต้านการเจริญเติบโตของเชื้อราบางชนิด


+ใช้เป็นยาแก้โรคผิวหนัง เช่น แก้อาการคัน


+ใช้เป็นยาแก้หืด


+ใช้เป็นยาแก้ปวด


ใช้ลดไขมันในโลหิต โดยลดการดูดซึมโคเลสเตอรอล (cholesterol) เข้าสู่ร่างกาย ซึ่งเป็นการป้องกันโรคไขมันอุดตันในเส้นเลือด , ต้านการแข็งตัวของเกล็ดเลือด



ปัจจุบัน วงการแพทย์ตะวันตกต่างหันมาสนใจ ให้ความสนใจต่อสมุนไพรมากขึ้น และยังคงมีการวิจัยศึกษา หาคุณประโยชน์ของสมุนไพรกันอย่างกว้างขวางและจริงจัง เพื่อค้นหาความลับในการรักษาและบำบัดโรคภัยต่างๆ รวมทั้งเคล็ดลับในการบำรุงสุขภาพให้แข็งแรง เพื่อการมีชีวิตที่ยืนยาว และมีสุขภาพดียิ่งขึ้น

บทความดีๆจาก http://www.hiclassshop.com/