วันจันทร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2553

"การให้คีโมกับมะเร็งและการดำรงชีวิต"

"การให้คีโมกับมะเร็งและการดำรงชีวิต"


หลังจากหลายปีที่พูดกันว่าการทำคีโมเป็นทางเลือกเดียวที่จะ ลอง และใช้ในการกำจัดโรคมะเร็ง ในที่สุดโรงพยาบาลจอห์น ฮอพกินส์ก็เริ่มแนะนำถึงทางเลือกอื่นๆอีก

ข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับโรคมะเร็งจาก รพ.จอห์น ฮอพกินส์

1. ทุกๆคนมีเซลมะเร็งอยู่ในร่างกาย เซลมะเร็งเหล่านี้จะไม่ปรากฎด้วยวิธีการตรวจสอบตามมาตรฐาน จนกระทั่งมันขยายตัวเพิ่มขึ้นในระดับพันล้านเซล เมื่อแพทย์บอกว่าไม่มีเซลมะเร็งในร่างกายผู้ป่วยโรคมะเร็งที่ได้รับการรักษาแล้ว มันหมายถึงว่าระบบไม่สามารถตรวจสอบเซลมะเร็งได้เพราะว่าจำนวนของมันยังไม่มากพอ จนถึงระดับที่สามารถตรวจจับได้เท่านั้น

2. เซลมะเร็งเกิดขึ้นระหว่าง 6 ถึงมากกว่า 10 ครั้งในช่วงอายุของคนๆหนึ่ง

3. เมื่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายแข็งแรงเพียงพอ เซลมะเรงจะถูกทำลายและป้องกันไม่ให้เกิดการขยายตัวและกลายเป็นเนื้องอก

4. เมื่อใครก็ตามเป็นมะเร็ง มันกำลังบอกว่าคนๆนั้นมีความบกพร่องหลายประการเกี่ยวกับโภชนาการ ซึ่งอาจเกิดจากยีน สิ่งแวดล้อม อาหารและปัจจัยอื่นๆในการดำรงชีวิต

5. เพื่อเอาชนะภาวะบกพร่องหลายประการเกี่ยวกับโภชนาการ การเปลี่ยนแปลงประเภทของอาหารรวมทั้งสารอาหารบางอย่างจะช่วยให้ภูมิคุ้มกันแข็งแรงขึ้น

6. การทำคีโมคือการให้สารเคมีที่มีความเป็นพิษกับเซลมะเร็งที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่ขณะเดียวกัน มันก็จะทำลายเซลที่ดีที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในไขกระดูก ทำลายระบบทางเดินอาหาร ฯลฯ และเป็นสาเหตุทำให้อวัยวะบางส่วนถูกทำลาย เช่น ตับ ไต หัวใจ ปอด ฯลฯ

7. การฉายรังสีแม้ว่าจะเป็นการทำลายเซลมะเร็ง แต่ก็ทำให้เกิดอาการไหม้ เป็นแผลเป็น และทำลายเซลที่ดี เนื้อเยื่อ และอวัยวะ

8. การบำบัดโดยคีโม และการฉายรังสีมักจะช่วยลดขนาดของเนื้องอกได้ในช่วงแรกๆ อย่างไรก็ตามถ้าทำไปนานๆพบว่ามักไม่ส่งผลต่อการทำลายเซลเนื้องอก

9. เมื่อร่างกายได้รับสารพิษจากการทำคีโมหรือการฉายรังสีมากเกินไป ระบบภูมิคุ้มกันอาจปรับตัวเข้ากันได้หรือไม่ก็อาจถูกทำลายลง ดังนั้นคนๆนั้นจึงอาจตกอยู่ในอันตรายจากการติดเชื้อหลายชนิดและทำให้โรคมีความซับซ้อนยิ่งขึ้น

10. การทำคีโมและการฉายรังสีอาจเป็นสาเหตุทำให้เซลมะเร็งกลายพันธุ์ ดื้อยา และยากต่อการทำลาย การผ่าตัดก็อาจเป็นสาเหตุทำให้เซลมะเร็งกระจายไปทั่วร่างกาย

11 วิธีที่ดีที่สุดในการทำสงครามกับมะเร็ง คือการไม่ให้เซลมะเร็งได้รับอาหารเพื่อนำไปใช้ในการขยายตัว

อะไรคืออาหารที่ป้อนให้กับเซลมะเร็ง

a. น้ำตาลคืออาหารของมะเร็ง การตัดน้ำตาลคือการตัดแหล่งอาหารสำคัญที่จ่ายให้กับเซลมะเร็ง สารทดแทนน้ำตาลอย่างเช่น "" นิวตร้าสวีต "" "" อีควล "" "" สปูนฟูล "" ฯลฯ ล้วนทำมาจากสารให้ความหวาน ซึ่งเป็นอันตราย สารทดแทนซึ่งเป็นกลางที่ดีกว่าคือน้ำผึ้งมานูคา (จากนิวซีแลนด์) หรือน้ำอ้อย แต่ในปริมาณน้อยๆเท่านั้น เกลือสำเร็จรูปก็ใช้สารเคมีในการฟอกขาว ควรหันไปเลือกใช้ "" แบรก อมิโน "" หรือเกลือทะเลแทน

b. นมเป็นสาเหตุทำให้ร่างกายผลิตเมือก โดยเฉพาะในระบบทางเดินอาหาร เซลมะเร็งจะได้รับอาหารได้ดีในสภาวะที่มีเมือก การใช้นมถั่วเหลืองชนิดไม่หวานแทนนม จะทำให้เซลมะเร็งไม่ได้รับอาหาร

c. เซลมะเร็งเติบโตได้ดี ในภาวะแงดล้อมที่เป็นกรด อาหารจำพวกเนื้อจะสร้างสภาวะกรดขึ้น ดังนั้นจึงควรหันไปรับประทานปลาจะดีที่สุด รองลงไปคือรับประทานไก่แทนเนื้อและหมู ในเนื้ออาจมียาฆ่าเชื้อ ฮอร์โมนที่สร้างการเจริญเติบโตในสัตว์ และเชื้อปรสิตบางประเภทตกค้างอยู่ ซึ่งล้วนเป็นอันตราย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่เป็นมะเร็ง

d. อาหารที่ประกอบด้วยผักสด 80% และน้ำผลไม้ พืชจำพวกหัว เมล็ด ถั่วเปลือกแข็ง และผลไม้จำนวนเล็กน้อย จะช่วยทำให้ร่างกายมีสภาวะเป็นด่าง อาหารอีก 20% อาจได้มาจากการทำอาหารร่วมกับพืชจำพวกถั่ว น้ำผักสดจะให้เอ็นไซม์ซึ่งสามารถดูดซึมได้ง่ายและซึมทราบสู่ระดับเซลภายใน 15 นาที เพื่อบำรุงร่างกายและส่งเสริมการเจริญเติบโตของเซลที่ดี เพื่อให้ได้เอ็นไซม์ในการสร้างเซลที่ดี ให้พยายามดื่มน้ำผักสด ( ผักส่วนใหญ่รวมทั้งถั่วที่มีหน่อหรือต้นอ่อน) และรับประทานผักสดดิบ 2-3 ครั้งต่อวัน เอ็นไซม์จะถูกทำลายได้ง่ายที่อุณหภูมิ 140 องศา F ( ประมาณ 40 องศา C)

e. ให้หลีกเลี่ยงกาแฟ น้ำชา และช๊อกโกแลต ซึ่งมีคาเฟอีนสูง ชาเขียวถือเป็นทางเลือกที่ดีและมีคุณสมบัติในการต้านมะเร็ง น้ำดื่มให้เลือกดื่มน้ำบริสุทธิ์ หรือที่ผ่านการกรอง เพื่อหลีกเลี่ยงท๊อกซินและโลหะหนักในน้ำประปา น้ำกลั่นมักมีสภาพเป็นกรด ให้หลีกเลี่ยง

12. โปรตีนจากเนื้อจะย่อยยาก และต้องการเอ็นไซม์หลายชนิดมาช่วยในการย่อย เนื้อสัตว์ที่ไม่สามารถย่อยได้ในระบบทางเดินอาหารจะเกิดการบูดเน่าและมีความเป็นพิษมากขึ้น

13. ผนังของเซลมะเร็งจะมีโปรตีนห่อหุ้มไว้ การงดหรือการรับประทานเนื้อสัตว์น้อยลง จะทำให้มีเอ็นไซม์เหลือมากพอมาใช้โจมตีกำแพงโปรตีนที่ห่อหุ้มเซลมะเร็ง และช่วยให้เซลของร่างกายสามารถกำจัดเซลมะเร็งได้ดีขึ้น

14. สารอาหารบางอย่างอาจช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน ( สาร IP6 [inositol hexaphosphate หรือ phytic acid], สาร Flor-essence, สาร Essiac, สารแอนตี้-อ๊อกซิแดนส์ , วิตามิน , เกลือแร่ , EFAs ฯลฯ) เพื่อช่วยให้เซลของร่างกายสามารถกำจัดเซลมะเร็งได้ดีขึ้น สารอาหารอื่นๆเช่น วิตามินอี เป็นที่ทราบกันดีว่าทำให้เกิดการตายลงของเซล หรือกำหนดระยะเวลาการตายของเซล ซึ่งเป็นกลไกธรรมชาติของร่างกายในการกำจัดเซลที่ถูกทำลาย ซึ่งไม่เป็นที่ต้องการ หรือไม่มีประโยชน์ออกไป

15. มะเร็งเป็นโรคที่สัมพันธ์กับจิตใจ ร่างกาย และจิตวิญญาณ การป้องกันเชิงรุกและการคิดในเชิงบวกจะช่วยให้เราสามารถอยู่รอดจากการทำสงครามกับมะเร็ง.... ความโกรธ การไม่รู้จักให้อภัย และความขมขื่นใจ จะทำให้ร่างกายเกิดความตึงเครียดและมีสภาวะเป็นกรดเพิ่มขึ้น ให้เรียนรู้ที่จะมีความรักและจิตวิญญาณแห่งการให้อภัย เรียนรู้ที่จะผ่อนคลายและมีความสุขกับชีวิต 



สนับสนุนบทความดีๆโดย www.hiclassshop.com






 

วันพฤหัสบดีที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2553

ประกาศผลผู้ได้รับรางวัล 17 ก.ย. 53

ขอแสดงความยินดีกับผู้ ได้รับรางวัลค่ะ จากคำถามว่า "หนาวนี้คุณอยากไปเที่ยวที่ไหนใน ประเทศไทย พร้อมบอกเหตุว่าทำไมถึงอยากไป"


ผู้โชคดีคือคุณ



 indy love
  กับ ข้อความที่ตอบว่า


....หนาวนี้อยากไปเที่ยวภาคเหนือ บนยอดดอยอินทนนท์ และไปเดินชมธรรมชาติที่กิ่วแม่ปาน ดูคลื่นภูเขาที่ลดหลั่น ไล่สีสันสวยงาม เหมือนอยู่ใกล้แค่เอื้อม ศึกษาเส้นทางธรรมชาติ พร้อมชมดอกกุหลาบพันปี และขึ้นไปที่อ่างกา จุดสูงสุด ดูนกหายากสีสันสดใส เพลิดเพลินใจไปกับสายลมหนาว แม้แต่ต้นไม้ยังต้องใส่เสื้อ บันทึกภาพแห่งความงามและความทรงจำอันน่าประ ทับใจตราบนานเท่านา...

 

INDYLOVE

ขอแสดงความยินดีด้วยค่ะ



ผู้ที่ได้รับรางวัล กรุณาส่งชื่อ ที่อยู่ที่จะให้ทางเราจัดส่งของรางวัลไปให้มาที่ hiclassshop99@gmail.com  ภายใน 1 สัปดาห์นับจากวันประกาศผล มิฉะนั้นจะถือว่าท่านสละสิทธิ์และทางเราจะมอบรางวัลให้กับรองชนะเลิศต่อไป ค่ะ



ขอบคุณสำหรับการร่วมสนุกค่ะ และติดตามการร่วมสนุกชิงของรางวัลง่ายๆแบบนี้ได้ที่ เว็บบอร์ดของ www.hiclassshop.com ค่ะ




ส่วนรางวัลชมเชย 2 รางวัล ซึ่งเป็นรางวัลที่ทางร้านจัดเพิ่มให้เป็นกรณีพิเศษ ได้แก่



คุณ lisa sai และ คุณ ชัชวัสส์




กรุณาส่งชื่อ และ ที่อยู่เพื่อที่จะให้ทางเราส่งของรางวัลไปให้มาที่ hiclassshop99@gmail.com ภายใจ 1 สัปดาห์นับจากวันที่ประกาศผล มิฉะนั้นจะถือว่าท่านสละสิทธิ์ เช่นกันค่ะ


ขอบคุณค่ะ

วันจันทร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2553

มีหนังสือดีๆอยากจะแจกค่ะ มาร่วมสนุกกัน



ขอเชิญร่วมสนุก เพื่อรับของรางวัล



เพียงตอบคำถามว่า "หนาวนี้คุณอยากไปเที่ยวที่ไหนในประเทศไทย พร้อมบอกเหตุว่าทำไมถึงอยากไป"


แล้วส่งคำตอบของคุณมาที่


hiclassshop99@gmail.com


คำตอบและเหตุผลที่โดนใจ


รับไปเลย "หนังสือ เที่ยวเสาร์ อาทิตย์" มูลค่า 245 บาท 1 รางวัล ส่งให้ถึงบ้าน


หมดเขตรับข้อความ 23.59 น. วันที่ 16 กันยายน 2553


มาร่วมสนุกกันเยอะๆนะคะ
 
ท่านที่ได้ส่งข้อ ความมาแล้ว ขอแจ้งให้ทราบว่าประกาศผลผู้ได้รับรางวัล วันที่ 17 กันยายน 2553 เวลา 9.30 น. ค่ะ



ตรวจสอบรายชื่อผู้ที่ได้รับรางวัลได้ที่ เว็บบอร์ดของ www.hiclassshop.com และที่ Facebook นะคะ


ขอบคุณสำหรับการร่วมสนุกค่ะ

"ตังกุย สมุนไพรสำหรับสตรี"





ในตำรับยาสมุนไพรจีน ตังกุย เป็นสมุนไพรที่รู้จักกันดี และนิยมใช้กันอย่างมาก เช่นเดียวกับโสม ถั่งเฉ้า และเห็ดหลินจือ ตามสรรพคุณตังกุยจะได้มาจากส่วนรากของพืชวงศ์ Umbelliferae มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Abgelica sinensis (Oliv) Diels เป็นสมุนไพรที่มีกลิ่นหอม รสหวานออกขมเล็กน้อย จัดอยู่ในกลุ่มสมุนไพรที่มีรสอุ่นกระตุ้นระบบไหลเวียนโลหิต บำรุงโลหิต ช่วยให้ประจำเดือนมาเป็นปกติ และแก้ปวด


โดยความนิยมแล้วถือว่า ตังกุย เป็นสมุนไพรที่ทรงคุณค่าสำหรับสตรี เนื่องจากเป็นตัวยาที่มีผลต่อมดลูกโดยตรง คือมีสรรพคุณ ในการช่วยให้ประจำเดือนมาสม่ำเสมอ แก้ปวดประจำเดือน ช่วยบรรเทาอาการปวดหัว ปวดเมื่อยตามเนื้อตัว (rheumatism) และเป็นยาระบายท้องอ่อนๆ ด้วย



มีรายงานจาการทดลองพบว่า สารสกัดจากตังกุย ในส่วนที่เป็นน้ำมันหอมระเหยที่มีจุดเดือดสูง (high boiling point) ประมาณ 180 องศาเซลเซียส ถึง 210 องศาเซลเซียส จะมีคุณสมบัติด้านการบีบตัว (ทำให้กล้ามเนื้อคลายตัว) ของมดลูกได้ แต่สำหรับในเชิงเภสัชวิทยา แล้วจะเกิดผล 2 กรณี คือ


ประการแรก

คือเมื่ออยู่ในภาวะตั้งครรภ์ มดลูกจะมีความไวต่อภาวะความกดดัน ในโพรงมดลูกสูง สารสกัดจากรากตังกุยจะมีผลต่อกล้ามเนื้อมดลูก คือ นอกจากจะลดการบีบตัวแล้ว ยังทำให้การตอบสนองต่อความกดดัน ในโพรงมดลูกน้อยลง (decreasing the myometrial sensitivity) และจะมีผลให้เลือดไปเลี้ยงบริเวณมดลูกมากขึ้น โดยการขยายหลอดเลือด ผลก็คือลดโอกาสในการแท้งบุตรได้ จึงเป็นเหตุผลว่า ทำไมตังกุยจึงเป็นผลดีต่อสตรีที่อยู่ในภาวะตั้งครรภ์

ประการที่สอง

คือสำหรับสตรีทั่วไปและสตรีภายหลังการคลอดบุตร ตังกุยจะมีผลต่อระบบประจำเดือน คือ ช่วยให้ประจำเดือนมาเป็นปกติ แก้ปวดประจำเดือน ในตำรับยาจีนจะผสมตังกุยกับหัวแห้วหมู (Cyperus rotundus) โกฐจุฬาลำเภาจีน (Artemisia argyi) เปลือกลูกพรุน (Prunus persica) และดอกคำฝอย (Carthamus tinctorius) เพื่อเป็นยาช่วยให้ประจำเดือนมาเป็นปกติ


ถึงแม้คำอธิบายเรื่องนี้ ยังไม่ชัดเจนมากนัก แต่ก็มีรายงานว่า


ในสารสกัดของตังกุยทั้งในส่วนของสารสกัดด้วยน้ำ และแอลกอฮอล์ที่ไม่ใช่เป็นสารกลุ่มน้ำมันหอมระเหย มีคุณสมบัติในการกระตุ้นการหดตัวของกล้ามเนื้อมดลูกได้ดี (คือ เพิ่มการบีบตัวของมดลูก) จึงนิยมใช้ตังกุยเป็นยาช่วยในการขับน้ำคาวปลา และช่วยทำให้มดลูกเข้าอู่ได้เร็วขึ้น


สำหรับการรักษาอาการหลังหมดประจำเดือน มีการทดลองใช้ตังกุย ร่วมกับตัวยาอื่นอีก 5 ชนิด ในคนไข้ 43 คน พบว่าส่วนใหญ่มีอาการดีขึ้น คือ อาการร้อนวูบ มึนงง ตาพร่า และอาการไม่สบายในช่องท้องจะลดลงประมาณ 70%




“ตังกุย” เป็นยาสำหรับสตรีเท่านั้นหรือ ผู้ชายรับประทานได้หรือไม่



ถ้าดูจากสรรพคุณดั้งเดิม ที่ว่าตังกุยเป็นยาที่ใช้สำหรับ บำรุงร่างกายทั่วๆ ไป และบรรเทาอาการปวดเมื่อยต่างๆ ก็น่าจะใช้ได้ดีทั้งกับผู้หญิงและผู้ชาย โดยเฉพาะการมุ่งหวังผล เพื่อเป็นยาบำรุงร่างกาย เพราะในรากตังกุยจะมีวิตามินบี 12 ในปริมาณที่มาก (0.25-0.4 ไมโครกรัม/100 กรัมของน้ำหนักรากแห้ง) ยังมีสารโฟลิก (Folic) และไบโอติน (Biotin) ซึ่งมีผลต่อการสร้างปริมาณเม็ดเลือด ในร่างกาย จึงนิยมใช้เป็นยาบำรุงโลหิต




ยิ่งกว่านั้นยังมีการทดลองที่พบและแสดงให้เห็นว่า สัตว์ที่ได้รับสารสกัดจากรากตังกุยจะมีขนาด และน้ำหนักของตับ และม้ามเพิ่มขึ้น เพิ่มประสิทธิภาพของเม็ดเลือดขาวชนิด macrophage ในการทำลายสิ่งแปลกปลอมในร่างกายได้ดีขึ้น และเพิ่มประสิทธิภาพ การทำงานของตับ ซึ่งส่งผลถึงการสร้างระบบภูมิต้านทานของร่างกายที่ดีขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ยังมีข้อมูลค่อนข้างจำกัด คงต้องรอผลการวิจัยต่อไป




ผลต้านการอักเสบและลดการบวม โดยการทดสอบทางชีวเคมี ถึงขบวนการเกิดการอักเสบ พบว่า สารจากตังกุยสามารถขัดขวางการเกิด 5-hydroxytryptamine (5-HT) และลดการส่งผ่านของสารทางผนังเซลล์หัวใจ (coronary flow) และกระแสโลหิตที่ร่างกาย peripheral blood flow ได้โดยการทำให้หลอดเลือดขยายตัว (dilate vessel) มีผลต่อการเต้นของหัวใจ ให้ความดันล่างสูงขึ้น


นอกจากรายงานทีกล่าวมาแล้ว ยังมีรายงานการวิจัย ถึงสรรพคุณของตังกุยอื่นๆ ที่น่าสนใจอีกมาก เช่น


เป็นสารต้านการเจริญเติบโตของเชื้อราบางชนิด


+ใช้เป็นยาแก้โรคผิวหนัง เช่น แก้อาการคัน


+ใช้เป็นยาแก้หืด


+ใช้เป็นยาแก้ปวด


ใช้ลดไขมันในโลหิต โดยลดการดูดซึมโคเลสเตอรอล (cholesterol) เข้าสู่ร่างกาย ซึ่งเป็นการป้องกันโรคไขมันอุดตันในเส้นเลือด , ต้านการแข็งตัวของเกล็ดเลือด



ปัจจุบัน วงการแพทย์ตะวันตกต่างหันมาสนใจ ให้ความสนใจต่อสมุนไพรมากขึ้น และยังคงมีการวิจัยศึกษา หาคุณประโยชน์ของสมุนไพรกันอย่างกว้างขวางและจริงจัง เพื่อค้นหาความลับในการรักษาและบำบัดโรคภัยต่างๆ รวมทั้งเคล็ดลับในการบำรุงสุขภาพให้แข็งแรง เพื่อการมีชีวิตที่ยืนยาว และมีสุขภาพดียิ่งขึ้น

บทความดีๆจาก http://www.hiclassshop.com/